ประเภทของการเทรด: สรุปแบบย่อ
ประเภทการเทรด | ความหมาย | กรอบเวลา | กลยุทธ์หลัก | เหมาะสำหรับ |
การเทรดแบบรายวัน | การซื้อและขายสินทรัพย์ภายในวันเดียว โดยไม่ถือข้ามคืน | หลายนาทีถึงหลายชั่วโมง (ระหว่างวัน) | เครื่องมือทางเทคนิค กราฟที่รวดเร็ว สัญญาณระยะสั้น | เทรดเดอร์ที่มีเวลา และโฟกัสกับตลาดตลอดวัน |
การเทรดแบบถือสถานะ | กลยุทธ์ระยะยาวที่อิงตามแนวโน้มตลาดที่สำคัญ | หลายเดือนถึงหลายปี | ซื้อแล้วถือยาว, แนวโน้มมหภาค, สัญญาณจากปัจจัยพื้นฐาน | เทรดเดอร์ที่มีความอดทน ใจเย็น ไม่ชอบเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา |
การเทรดแบบสกัลปิ้ง | ทำการเทรดเล็ก ๆ น้อย ๆ หลายสิบรายการ เพื่อทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงราคาเล็กน้อย | หลายวินาทีถึงหลายนาที | เข้าซื้อเร็ว, ดูการไหลของออเดอร์, สเปรดแคบ | เทรดเดอร์ที่รวดเร็ว และใส่ใจรายละเอียด |
การเทรดแบบสวิง | จับจังหวะขึ้นลงของราคาที่เกิดในช่วงหลายวันหรือหลายสัปดาห์ | ระยะสั้นถึงระยะกลาง | ติดตามแนวโน้ม, แนวรับแนวต้าน, วิเคราะห์กราฟ | เทรดเดอร์พาร์ตไทม์ หรือคนที่มีเวลายืดหยุ่น |
การเทรดแบบโมเมนตัม | ตามกระแสราคาแรง ๆ ไปจนกว่าจะเริ่มชะลอ | ระยะสั้นถึงระยะกลาง | การพุ่งทะลุ, ปริมาณการซื้อขายพุ่งสูงฉับพลัน, ความแข็งแกร่งของแนวโน้ม | เทรดเดอร์ที่ตัดสินใจลงมือรวดเร็วและชอบความผันผวน |
การเทรดแบบอัลกอริทึม | ใช้โปรแกรมอัตโนมัติเพื่อวางคำสั่งซื้อขายตามเงื่อนไขที่ตั้งไว้ | แล้วแต่การตั้งค่า | โรบ็อต, กลยุทธ์ที่ตั้งโปรแกรมอัตโนมัติ, ระบบความเร็วสูง | เทรดเดอร์ที่มีความรู้ด้านเทคโนโลยี หรือเทรดเดอร์ระดับสถาบัน |
การเทรดตามปัจจัยพื้นฐาน | ใช้ข่าวเศรษฐกิจและข้อมูลทางการเงินในการประเมินมูลค่าสินทรัพย์ | ระยะกลางถึงระยะยาว | งบการเงิน, ดอกเบี้ย, แนวโน้มเศรษฐกิจโลก | เทรดเดอร์ที่ติดตามเหตุการณ์และข้อมูลมหภาค |
การเทรดทางเทคนิค | วิเคราะห์กราฟราคาและรูปแบบต่าง ๆ เพื่อคาดการณ์การเคลื่อนไหวในอนาคต | ได้ทั้งระยะสั้น กลาง ยาว | ตัวบ่งชี้, เส้นแนวโน้ม, ข้อมูลราคาย้อนหลัง | เทรดเดอร์ที่คิดเป็นภาพ และเชื่อในสัญญาณจากตลาด |
กลยุทธ์การเทรดตามกรอบเวลา
การเทรดแบบรายวัน (Day trading)
การเทรดแบบรายวันเป็นการเทรดที่มีความรวดเร็วที่สุด เทรดเดอร์จะเปิดและปิดออเดอร์ภายในวันเดียวกัน หรือบางครั้งภายในไม่กี่ชั่วโมงหรือไม่กี่นาที โดยทั่วไปพวกเขาจะจะไม่ถือสถานะข้ามคืน เพื่อเลี่ยงความเสี่ยงจากการเปลี่ยนแปลงที่ไม่คาดคิด กลยุทธ์นี้ต้องใช้ความเร็ว ความแม่นยำ และการวิเคราะห์ข้อมูลทางเทคนิคกับข่าวสารตลาดแบบทันที

การเทรดแบบถือสถานะ (Position Trading)
เมื่อพูดถึงการเทรดในระยะยาว แนวทางนี้มักเป็นสิ่งแรกที่หลายคนนึกถึง การเทรดแบบถือสถานะคือการจับแนวโน้มที่กินเวลาหลายสัปดาห์ หลายเดือน หรือแม้แต่เป็นปี เน้นวิเคราะห์ภาพรวมเศรษฐกิจโลกและตัวชี้วัดทางการเงินที่สำคัญ เหมาะกับผู้ที่ไม่ต้องการเทรดบ่อย และมีเวลาศึกษาข้อมูลเชิงลึกเพื่อวิเคราะห์ภาพรวมมากขึ้น หลายคนใช้ข้อมูลปัจจัยพื้นฐานเพื่อช่วยตัดสินใจว่าเมื่อไหร่ควรเข้า หรือออกจากตลาด
การเทรดแบบสกัลปิ้ง (Scalping Trading)
การเทรดแบบสกัลปิ้ง คือกลยุทธ์ที่เน้นการเทรดระยะสั้นมาก ๆ โดยจับความเคลื่อนไหวเล็ก ๆ ของราคาจากการเทรดหลายสิบครั้งในแต่ละวัน วิธีนี้เข้มข้นและต้องการความทุ่มเท เหมาะกับคนที่มีเครื่องมือและแนวคิดที่พร้อมจะเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว เทรดเดอร์สายสกัลปิ้งมักปิดสถานะภายในไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที เป้าหมายคือสะสมกำไรเล็ก ๆ ให้กลายเป็นกำไรก้อนใหญ่ การเทรดประเภทนี้ต้องใช้สมาธิสูงและลงมืออย่างแม่นยำมากกว่าวิธีอื่น
การเทรดแบบสวิง (Swing Trading)
แตกต่างจากการเทรดรายวันหรือการเทรดแบบสกัลปิ้ง การเทรดแบบสวิงให้พื้นที่ในการปรับตัวและตัดสินใจมากกว่าสำหรับเทรดเดอร์ เน้นการเคลื่อนไหวของราคาช่วงสั้นถึงปานกลาง ที่เกิดขึ้นในระยะเวลาหลายวันหรือหลายสัปดาห์ วิธีนี้เป็นการหลอมรวมเครื่องมือทางเทคนิคและข่าวการตลาด ดังนั้นคุณจึงไม่จำเป็นต้องเฝ้าดูหน้าจอตลอดทั้งวัน สำหรับหลาย ๆ คนมันมีความยืดหยุ่นมากที่สุดในบรรดากลยุทธ์การเทรดทุกประเภท

ประเภทการเทรดตามกลยุทธ์
การเทรดแบบโมเมนตัม (Momentum Trading)
การเทรดแบบโมเมนตัมเหมาะสำหรับนักเทรดที่ชอบความเร็วและการตัดสินใจรวดเร็ว กลยุทธ์นี้เน้นติดตามแนวโน้มราคาที่แข็งแกร่ง และมีเป้าหมายเพื่อทำกำไรอย่างรวดเร็วขณะที่ยังมีแรงโมเมนตัมอยู่ แนวทางนี้ขึ้นอยู่กับการจับจังหวะ ปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว และความแข็งแกร่งของราคา เพื่อจับสินทรัพย์ที่กำลังเคลื่อนไหว วิธีนี้เหมาะอย่างยิ่งกับตลาดที่มีความผันผวนสูง ซึ่งทิศทางราคาอาจเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและนำมาซึ่งผลตอบแทนอย่างรวดเร็ว
การเทรดด้วยอัลกอริทึม (Algorithmic Trading)
การเทรดด้วยอัลกอริทึมจะแทนที่การตัดสินใจของมนุษย์ด้วยกฎอัตโนมัติ เทรดเดอร์สามารถกำหนดเงื่อนไขที่ดีที่สุดสำหรับการเข้าและออกจากการเทรดโดยการเขียนสคริปต์ โดยอ้างอิงจากเวลา ราคา และปริมาณการซื้อขาย สิ่งนี้ช่วยในการขจัดอารมณ์ และให้การดำเนินการที่แม่นยำและความเร็วสูง วิธีนี้มักใช้โดยสถาบันการเงินหรือเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์สูงและเชื่อในข้อมูลมากกว่าความรู้สึก
การเทรดตามปัจจัยพื้นฐาน (Fundamental Trading)
สำหรับผู้ที่ให้ความสำคัญกับภาพรวมระดับโลกมากกว่ากราฟรายวัน การเทรดแบบปัจจัยพื้นฐานถือเป็นทางเลือกที่นิยมใช้ วิธีนี้จะพิจารณาปัจจัยที่ขับเคลื่อนมูลค่าที่แท้จริง เช่น รายงานผลกำไร อัตราเงินเฟ้อ และการตัดสินใจของธนาคารกลาง เทรดเดอร์จะใช้ข้อมูลเหล่านี้เปรียบเทียบกับราคาตลาด เพื่อดูว่าสินทรัพย์นั้นมีราคาสูงหรือต่ำเกินไป เมื่อเทียบกับประเภทการเทรดอื่น ๆ วิธีนี้ถือว่าใกล้เคียงกับเหตุการณ์จริงและแนวโน้มเศรษฐกิจโลกมากที่สุด
การเทรดทางเทคนิค (Technical Trading)
กราฟราคามีเรื่องราวของตัวเองที่จะบอกเล่า และการเทรดทางเทคนิคคือการอ่านเรื่องราวนั้นอย่างแม่นยำ วิธีการเทรดนี้เน้นดูรูปแบบกราฟ ตัวบ่งชี้ และระดับราคาต่าง ๆ เพื่อกำหนดทิศทางการเคลื่อนไหวของตลาดในครั้งถัดไป แทนที่จะเน้นข่าวสารหรือข้อมูลทางการเงิน วิธีนี้จะวิเคราะห์การเปลี่ยนแปลงของราคา วิธีนี้ได้รับความนิยมในกลุ่มเทรดเดอร์ระยะสั้นที่ชอบความชัดเจนในภาพ และต้องการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว
การเลือกประเภทการเทรดที่เหมาะสม
พิจารณาปัจจัยสำคัญเหล่านี้เมื่อเลือกสไตล์การเทรดที่เหมาะกับคุณที่สุด
เวลา ในบางวิธี คุณต้องติดตามข้อมูลตลอดทั้งวัน ขณะที่บางวิธีมีลักษณะค่อนข้างนิ่งและไม่ต้องเฝ้าจอมาก หากคุณมีเวลาว่างวันละหลายชั่วโมง อาจชอบสไตล์ที่เคลื่อนไหวเร็ว เช่น การเทรดแบบรายวัน หรือ การเทรดแบบสกัลปิ้ง แต่ถ้าคุณมีเวลาจำกัด การเทรดแบบสวิง หรือ การเทรดแบบถือสถานะอาจเหมาะกว่า
ความเสี่ยง แต่ละกลยุทธ์มีระดับความเสี่ยงของตัวเอง กลยุทธ์ระยะยาวมักดูเหมือนปลอดภัยกว่าแบบระยะสั้น แต่ก็ยังได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของตลาด ก่อนที่จะเลือกวิธีการ ควรกำหนดว่าคุณยอมรับการขาดทุนได้มากแค่ไหนโดยไม่เครียด
เครื่องมือ การเทรดด้วยตัวเองต้องการสมาธิและการตัดสินใจอย่างรวดเร็ว ขณะที่การเทรดแบบอัลกอริทึมหรืออัตโนมัติมักเน้นที่เทคโนโลยีและการเตรียมการล่วงหน้า ความถนัดในการใช้เครื่องมือวิเคราะห์และซอฟต์แวร์จะช่วยให้คุณเลือกวิธีที่เหมาะสมได้ดีขึ้น
เทรดเดอร์บางคนอาจเลือกใช้ทั้งสไตล์ตามกรอบเวลาและสไตล์ตามกลยุทธ์ บางคนผสมผสานทั้งสองวิธีเข้าด้วยกัน แต่การเข้าใจอย่างชัดเจนจะช่วยลดความสับสนและทำให้ตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาดขึ้น
ทำไมการบริหารความเสี่ยงจึงมีความสำคัญสำหรับการเทรดในแต่ละรูปแบบ?